พระสมเด็จวัดระฆังฯ
พระสมเด็จวัดระฆังฯ นับเป็นพระชุดเบญจภาคียอดนิยม ที่มีอายุการสร้างน้อยที่สุด และกล่าวได้ว่า เป็นพระพิมพ์เพียงพิมพ์เดียว ที่สร้างโดยพระเกจิอาจารย์ คือ สมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต พรหมรังสี)
สมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต พรหมรังสี) พระเถรานุเถระผู้ทรงคุณ แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ ที่ปรากฏเกียรติคุณแผ่ขจรขจายไปทั่วแดนสยาม เป็นปราชญ์ในทางธรรม เลิศล้ำในวิทยาคุณพระพิมพ์ที่ท่านสร้างไว้ เด่นล้ำในศิลปะ มีอานุภาพอันน่าอัศจรรย์ ได้รับการยกย่องว่าเป็นจักรพรรดิแห่งพระเครื่องทั้งมวล เป็นองค์ประธานในพระชุด พระเบญจภาคียอดนิยม เจ้าประคุณสมเด็จฯ ท่านมีนามเดิมว่า โต เกิดในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช รัชกาลที่ 1 ภายหลังการสถาปนากรุงรัตนโกสินทร์ 7 ปี เมื่อวันที่ 17 เมษายน พ.ศ.2331 ตรงกับวันพฤหัสบดี เดือน 5 ขึ้น 12 ค่ำ ปีวอก จุลศักราช 1150 ณ บ้านไก่จ้น (บ้านท่าหลวง) อำเภอท่าเรือ จังหวัดพระนครศรีอยุธยาบิดามารดาของท่านเป็นใคร ไม่ทราบแน่ชัด มีผู้กล่าวถึงประวัติของท่านในส่วนนี้หลายกระแส เช่น ฉบับพระยาทิพโกษา กล่าวว่า มารดาของท่านชื่อว่า นางงุด บุตรของ นายผล กับ นางลา ชาวนาเมืองกำแพงเพชร ฉบับพระครูกัลยาณานุกูล (เฮง อิฏฐาจาโร) กล่าวว่า มารดาของท่านชื่อ เกตุ คนท่าอิฐ อำเภอบางโพ
เมื่อถึงวัยอันควร ได้บรรพชาเป็นสามเณร เมื่อ พ.ศ.2343 และต่อมาปรากฏว่าพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช รัชกาลที่ 1 ทรงโปรดเมตตาท่านยิ่งนัก ครั้นอายุครบอุปสมบท ในปี พ.ศ.2350 จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้อุปสมบทเป็นนาคหลวงที่วัดพระศรีรัตนศาสดาราม มี สมเด็จพระอริยวงษาญาณ สมเด็จพระสังฆราช (สุก ญาณสังวร) เป็นพระอุปัชฌาย์ มีนามฉายาว่า พรหมรังสี ซึ่งต่อมา พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย รัชกาลที่ 2 ได้โปรดเกล้าฯ รับพระภิกษุโตไว้ในพระบรมราชูปถัมภ์
ด้านการศึกษาพระปริยัติธรรม วิปัสสนากัมมัฏฐาน ตลอดจนพุทธาคมต่างๆนั้น ท่านได้ศึกษาจากหลายสำนัก จนมีความชำนาญและเชี่ยวชาญอย่างเอกอุ สำหรับพระปริยัติธรรมนั้น ไม่เคยปรากฏว่าท่านเข้าสอบ แต่คนทั่วไปนิยมเรียกท่านว่า มหาโต
รัชสมัยพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 3 จะทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ พระราชทานสมณศักดิ์ แต่ท่านได้ปลีกวิเวกออกธุดงค์ไปตามสถานที่ต่างๆ เพื่อเลี่ยงและไม่ปรารถนายศศักดิ์หรือลาภสักการะใดๆ
รัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 4 ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ สถาปนาเป็นพระราชาคณะที่ราชทินนาม พระธรรมภิติ และดำรงตำแหน่งเจ้าอาวาสวัดระฆังโฆสิตาราม ในปี พ.ศ.2395
พ.ศ.2397 ได้รับพระราชทานเลื่อนสมณศักดิ์เป็น พระเทพกวี
พ.ศ.2407 ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ สถาปนาขึ้นเป็นสมเด็จพระราชาคณะ ในราชทินนาม สมเด็จพระพุฒาจารย์
ปัจฉิมวัยของท่านเจ้าประคุณสมเด็จฯ ได้ขอลาออกจากตำแหน่งเจ้าอาวาสวัดระฆังฯ โดยมอบหมายให้ พระพุทธุปบาทปิลันทน์ (ม.จ.ทัด เสนีย์วงศ์) ดูแลแทน สมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต พรหมรังสี) ได้ถึงแก่กาลมรณภาพ เมื่อวันที่ 22 มิถุนายน พ.ศ.2415 ตรงกับวันเสาร์ แรม 2 คํ่า เดือน 8 ปีวอก รวมสิริอายุได้ 84 ปี 64 พรรษา
การสร้างพระพิมพ์
พระสมเด็จวัดระฆัง คือนามอุโฆษที่หลายคนใฝ่ฝันปรารถนา อยากมีไว้ในครอบครอง แต่น้อยนักที่จักประสบผลตามต้องการ ด้วยจำนวนพระที่มีหมุนเวียนน้อยลงทุกขณะ ค่านิยมทวีสูงขึ้นตามกาลเวลา ใช่ง่ายที่จะมีไว้ชื่นชมด้วยคุณค่าอันคู่ควร พระสมเด็จวัดระฆังจึงถูกยกย่องให้เป็น จักรพรรดิแห่งพระเครื่องทั้งมวล และเป็นองค์ประธานในพระชุด พระเบญจภาคียอดนิยม
สร้างโดยท่านเจ้าประคุณ สมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต พรหมรังสี) จึงได้รับการขนานนามตามสมณศักดิ์ของท่านว่า พระสมเด็จ
สันนิษฐานว่าเริ่มสร้างในสมัยรัชกาลที่ 4 ประมาณปี พ.ศ.2409 จนถึงประมาณปี พ.ศ.2414 จึงได้ยุติ เป็นการสร้างในลักษณะสร้างไปแจกไป มิได้ลงกรุหรือบรรจุกรุในพระเจดีย์ จำนวนการสร้างประมาณการว่ามีจำนวนมากถึง 84,000 องค์ ตามจำนวนพระธรรมขันธ์ ประกอบด้วยพระพิมพ์มาตรฐาน 5 พิมพ์ คือ
- พิมพ์ใหญ่ หรือ พิมพ์พระประธาน
- พิมพ์ทรงเจดีย์
- พิมพ์ฐานแซม
- พิมพ์เกศบัวตูม
- พิมพ์ปรกโพธิ์ (สำหรับพิมพ์นี้พบเห็นน้อย จึงไม่ค่อยมีผู้กล่าวถึง)
เนื้อหามวลสาร
เนื้อหามวลสารของพระสมเด็จวัดระฆัง ตามประวัติการสร้างกล่าวว่าเป็นการสร้างในลักษณะสร้างไปแจกไป ทำให้มวลสารมีความแตกต่างกันไปตามวาระการสร้าง เนื่องจากการผสมมวลสารส่วนผสมต่างกันในแต่ละครั้ง กระนั้นมวลสารหลักในการสร้างก็มิอาจผิดเพี้ยนไปจากเดิมมากนัก อันมีองค์ประกอบของมวลสารสำคัญ ประกอบด้วยผงวิเศษทั้ง 5 คือ ผงปถมัง
ผงอิธะเจ ผงมหาราช ผงตรีนิสิงเห และ ผงพุทธคุณ ตลอดจนมวลสารส่วนผสมอื่นๆ โดยมีน้ำมันตังอิ๊วเป็นตัวประสาน เนื้อพระจึงปรากฏทั้งประเภท เนื้อละเอียด และ เนื้อหยาบ
หมายเหตุ ที่มา หนังสือ พระวัดระฆังฯ สำนักพิมพ์บ้านครู พ.ศ.2557
ธรรมชาติความเก่า บนพื้นผิวพระสมเด็จวัดระฆังฯ
การจะตั้งข้อสรุปได้อย่างสมบูรณ์แบบต่อการพิจารณาความเก๊-แท้ ของพระสมเด็จวัดระฆัง นอกเหนือจากสูตรที่ว่า พระแท้ต้องพิมพ์ถูก เนื้อใช่ สิ่งสำคัญอีกประการหนึ่ง ที่ไม่อาจหลีกเลี่ยงได้เลยในการตัดสินก็คือ เรื่องธรรมชาติความเก่าของเนื้อพระ เนื่องจากธรรมชาติความเก่านี้เป็นตัวฟ้องอายุของพระสมเด็จ และการเซ็ทตัวตามธรรมชาติ เป็นสิ่งที่มนุษย์ทำเทียมเลียนแบบได้เพียงแค่ใกล้เคียง มนุษย์และวิทยาการสมัยใหม่ไม่สามารถที่จะสร้างธรรมชาติความเก่าได้เหมือนกับธรรมชาติในตัวเอง และไม่เฉพาะแต่การพิจารณาพระสมเด็จเท่านั้น สรรพสิ่งต่างๆในโลกทั้งมีชีวิตและไม่มีชีวิต ล้วนมีอายุไข ดังนั้นธรรมชาติที่ปรากฏฟ้องความเป็นไปของกาลเวลาไม่อาจชดเชยหรือกระทำทดแทนได้ พิมพ์อาจถอดให้ใกล้เคียงได้ มวลสารอาจหาสูตรผสมที่ดูแล้วคล้ายของจริง แต่ธรรมชาติความเก่าที่เกิดขึ้นจากภายในพระรวมกับพื้นที่ผิวภายนอกผสานกัน ไม่สามารถสร้างให้เหมือนได้ การทำให้เกิดความเก่าบนพื้นผิวพระสมเด็จ หรือที่เรียกว่า แกล้งเก่า จะกระทำได้เพียงผิวนอกขององค์พระเท่านั้น และเท่าที่ปรากฏก็ยังทำได้เพียง 60% ของความเป็นจริง ซึ่งผิดกับความก้าวหน้าในด้านการทำเลียนแบบด้านพิมพ์ทรง ซึ่งปัจจุบันสามารถใช้วิทยาการใหม่ๆ ถอดพิมพ์ได้ใกล้เคียงถึง 90% แล้ว ในด้านเนื้อพระก็ไม่ยิ่งหย่อนมีผู้ทดลองผสมสูตรเนื้อออกมาได้ดีถึง 80% แล้ว ดังนั้นกล่าวว่าการศึกษาธรรมชาติพระ มีความสำคัญอย่างยิ่ง เข้าตำราที่ว่า พิมพ์ถูก เนื้อใช่ ธรรมชาติครบ จึงจะตัดสินได้ว่าเป็นพระแท้
สำหรับเรื่องธรรมชาติของพระสมเด็จวัดระฆัง ที่มีอายุความเก่ากว่า 100 ปี สามารถแยกแยะตามลักษณะการเกิดธรรมชาติได้เป็น 8 ประการ คือ
1. รูพรุนปลายเข็ม มีลักษณะเป็นรูเล็กๆ ขนาดปลายเข็ม อาจปรากฏอยู่โดยทั่วไปตลอดทั้งด้านหน้าและด้านหลัง โดยไม่จำกัดปริมาณ จะเกิดมากบ้าง น้อยบ้าง ต่างๆกันไป พระบางองค์จะปรากฏเป็นกลุ่มๆ หรือหย่อมๆ ชัดเจนบ้าง หรือเลือนรางบ้าง อันเป็นคุณลักษณะธรรมชาติที่เกิดจากปฏิกิริยาทางเคมีระหว่างปูนขาว อันเป็นมวลสารหลักของเนื้อพระกับน้ำ ซึ่งมีการคายออกซิเจน หรือฟองอากาศออกมาในขณะที่เนื้อพระยังเป็นของเหลว ซึ่งเรียกว่า ปฏิกิริยาปูนเดือด ซึ่งฟองอากาศพยายามผุดและลอยหนีออกมาจากผิวเนื้อในขณะที่ยังเหลว พอพ้นผิวเนื้อจึงทำให้เกิดเป็นรูเล็กๆ ครั้นเมื่อเนื้อเกาะกุมตัวกลายเป็นของแข็ง จึงทิ้งร่องรอยการผุดของก๊าซเป็นลักษณะ รูพรุนปลายเข็ม ปรากฏไว้
รูพรุนปลายเข็มเป็นคุณลักษณะสำคัญประการหนึ่งในการพิจารณา แต่ก็ยังไม่ใช่ข้อตัดสินหรือยืนยันอย่างแท้จริง เพราะของแท้ซึ่งไม่ปรากฏคุณลักษณะดังกล่าวก็มีอยู่ เช่น พระที่มีเนื้อส่วนผสมของปูนขาวน้อย เนื้อพระที่หมาดเกินไป มีความชื้นสูง หรือเนื้อที่เหลวเกินไปต้องใช้เวลาแข็งตัวนาน ทำให้เนื้อพระสมานกันจนสนิทไม่ปรากฏรูพรุนปลายเข็ม กระทั่งเนื้อพระที่ถูกใช้สึก รวมไปถึงพระปลอมบางฝีมือ ก็สามารถทำรูพรุนปลายเข็มได้เช่นกันหากปฏิกิริยาดังกล่าวข้างต้น แตกต่างตรงที่พระปลอมรูพรุนปลายเข็มจะกว้าง ซึ่งเป็นความจงใจที่ใช้ปลายเข็มแทงย้ำไปบนพื้นผิว แล้วรอให้แห้ง การหดรัดตัวที่ไม่ได้ที่นั้น ทำให้รูพรุนปลายเข็มของพระปลอม มีลักษณะป่องกลม ไม่ใช่ปลายเรียบปากกว้างอย่างของแท้
2. รอยปูไต่ เป็นคุณลักษณะอีกประการหนึ่ง ที่แตกต่างไปจากรูพรุนปลายเข็ม คือมิได้เกิดจากภายในออกมาภายนอก หากแต่เป็นปฏิกิริยาของผิวที่ได้รับความร้อนแล้วแห้งจากส่วนบนไปในเนื้อพระ มีลักษณะเป็นรอยย้ำจากภายนอกเข้าไปในเนื้อ มีสัณฐานเขื่องกว่ารูพรุนปลายเข็ม และเป็นรูคู่ คือ 2 รู เคียงกัน และเดินเกาะคู่เป็นแนว ส่วนมากจะพบบริเวณชายกรอบด้านข้างด้านใดด้านหนึ่ง และเดินไปด้านตรงข้ามในแนวเฉียงขึ้นทีละน้อย จนกระทั่งหายไปทางด้านตรงข้าม
รอยปูไต่นี้ ถ้าปรากฏในพระสมเด็จองค์ใด สามารถช่วยในการพิจารณาตัดสินยืนยันความแท้ของพระสมเด็จองค์นั้นๆได้ เพราะปัจจุบันยังไม่ปรากฏว่าพระปลอมสามารถทำให้ใกล้เคียงกับพระแท้ที่มีความหนักเบาของเส้นรอยปูไต่อย่างธรรมชาติ
3. รอยหนอนด้น (บ่อน้ำตา) เป็นคุณลักษณะทั่วไปทำนองเดียวกับรอยปูไต่ แต่แทนที่จะเป็นรอยคู่เป็นเส้น กลับเป็นรอยเดี่ยวที่จับกันเป็นกลุ่ม และลึกกว่ารอยปูไต่เล็กน้อย และออกไปในแนวทางเดียวกัน บางองค์จะปรากฏเป็นแนวโค้งๆ อันเป็นลักษณะธรรมชาติอันเกิดจากเนื้อพระที่ยังเหลวเช่นกัน หากแต่เป็นการเซ็ทตัวของมวลสารที่คายความชื้นออกมา จนทำให้เนื้อพระที่แห้งไม่เท่ากันในระนาบเดียวกันเกิดการยุบตัวลง
4. รอยย่นตะไคร่น้ำ หรือ ฟองเต้าหู้ เป็นรอยย่นของผิวเนื้อโดยทั่วไปบางช่วง หรือเป็นปื้นกว้าง มักมีให้เห็นที่ทางด้านหลังองค์พระเป็นส่วนมาก ทำให้ด้านหลังไม่ราบเรียบทีเดียว แต่จะมีลักษณะเป็นริ้วๆ คล้ายรอยย่นของผิวตะไคร่น้ำที่ละเอียด พระบางองค์จะปรากฏเป็นขนาดย่อม อันประกอบด้วยแอ่งรูพรุนปลายเข็มตรงกลาง ที่เรียกว่า ฟองเต้าหู้ สลับกันไปกับรอยยับย่น ลักษณะค่อนข้างละเอียดและตื้น มักจะปรากฏในองค์พระที่ค่อนข้างบาง ทั้งประเภทเนื้อหนึกนุ่มและเนื้อแกร่งแก่ปูน พระที่ลงรักมาแต่เดิม ในขณะที่เนื้อพระยังไม่แห้งสนิท ครั้นเมื่อแห้งสนิทการรัดตัวของเนื้อรัก ทำให้เกิดปฏิกิริยาโดยทั่วไปของผิวเนื้อเป็นแรงดึงพื้นผิวพระให้ยุบตัว แต่เนื้อรักที่ฉาบผิวต้องใช้เวลานานกว่าจะแห้งสนิท อีกทั้งการยุบตัวของเนื้อรักก็แตกต่างกว่าเนื้อปูน แรงดึงตัวตามผิวเนื้อจึงทำให้เกิดริ้วรอยธรรมชาติคล้ายว่าผิวแตกระแหง ทำนองเดียวกับการเกิด แตกลายงา จะผิดกันแค่ตรงที่แตกลายงาจะเกิดบนพื้นผิวด้านหน้า แต่รอยย่นตะไคร่น้ำจะเกิดด้านหลัง สำหรับองค์ที่ไม่ได้ลงรัก ก็อาจจะเกิดคุณลักษณะนี้ได้เช่นกันในพระที่มีความหนาหรือแกร่งแก่ปูน เพราะเนื้อจะมีการยุบตัวมากไม่เท่ากัน ปรวนแปรตามความชื้นที่สะสมอยู่ในองค์พระในระดับที่ต่างกัน
5. รอยกาบหมาก เป็นคุณลักษณะธรรมชาติที่คล้ายคลึงกับรอยย่นตะไคร่น้ำ แต่จะมีลักษณะเป็นริ้วหนาและลึกกว่า คล้ายรอยกาบหมากจริงๆ มีปรากฏทั้งรอยดิ่งและรอยขวาง สันนิษฐานว่าเกิดจากการถอดพระออกจากพิมพ์แล้วนำไปวางบนแผ่นกาบหมากเพื่อผึ่งลมให้แห้ง เนื้อพระที่ยังหมาดจึงได้ประทับรอยไว้เช่นเดียวกับพระเนื้อดินกรุต่างๆ อาทิ พระหลวงพ่อโต อยุธยา เป็นต้น
6. รอยสังขยา เป็นคุณลักษณะที่ปรากฏอยู่บนพื้นผิวด้านหลังพระสมเด็จ มีลักษณะเป็นวงๆ มีเส้นรอบวงหยักคดเคี้ยวไปตามธรรมชาติ ปรากฏบริเวณกลางๆองค์พระ ซึ่งเป็นบริเวณเรียบราบ ปรากฏรอยย่นซ้อนกันของเนื้อกระจายแผ่ออกไปเป็นวงซ้อนกันหลายชิ้น คล้ายผิวระลอกน้ำที่กระจายออกจากส่วนกลาง อาจจะประกอบไปด้วย ริ้วละเอียด รอยย่นตะไคร่น้ำ และรูพรุนปลายเข็ม ฯลฯ หรืออาจจะเป็นวงชั้นเดียว พระที่ปรากฏธรรมชาติแบบนี้วรรณะออกขาว ปรากฏมวลสารผุดให้เห็นบางๆที่พื้นผิว และลึกลงไปในเนื้อ อาทิ เม็ดแร่วรรณะน้ำตาล อยู่ตามรอยผิวเนื้อ เป็นต้น
7. รอยนิ้วมือ เป็นร่องรอยของลายนิ้วหัวแม่มือของผู้พิมพ์พระ ในขณะที่ทำการสร้างแบบเดียวกับที่พบในพระเนื้อดินกรุต่างๆ เช่น พระผงสุพรรณ พระกำแพงซุ้มกอ เป็นต้น
8. รอยริ้วระแหง จัดเป็นคุณลักษณะที่สำคัญอีกอย่างหนึ่งซึ่งจะปรากฏให้เห็นค่อนข้างหนาตากว่าแบบอื่น มีลักษณะคล้ายแนวแตกระแหงของหน้าดินผืนนาหน้าแล้ง เป็นแนวเส้นที่ค่อนข้างละเอียดมากบ้างน้อยบ้าง บางทีก็มีลักษณะเหมือนเส้นผมเล็กๆ บางทีก็เป็นรอยอ้าเล็กน้อย สั้นๆยาวๆคดเคี้ยวไปมาบ้าง มักเกิดจากเนื้อปูนที่แปรสภาพจากของเหลวกลายเป็นของแข็ง ย่อมมีการหดตัวหรือเกาะกุมตัวไม่สม่ำเสมอกัน จึงเกิดรอยปริของเนื้อ
คุณลักษณะทั้ง 8 ประการ บนพื้นผิวพระสมเด็จ อันแสดงถึงธรรมชาติความเก่าและแท้นี้ อาจจะปรากฏมากน้อยต่างๆกันไป อาจจะปรากฏชนิดเดียวหรือหลายชนิดปะปนกัน ดังนั้นการพิจารณาพระสมเด็จในแง่ของการดูธรรมชาติความเก่านี้ ต้องใช้การวินิจฉัยอย่างละเอียดและหาเหตุผลมาวิเคราะห์สิ่งต่างๆที่ปรากฏให้เห็นนี้ ควรจะมีคุณลักษณะของธรรมชาติความเก่าจริงหรือไม่ เพราะเหตุที่พระปลอมบางฝีมือ สามารถทำริ้วรอยบางอย่างให้ปรากฏบนพระที่เขาตั้งใจทำออกมาหลอกตาและหลอกเอาสตางค์ท่านโดยไม่ได้เน้นหรือทำให้ได้รายละเอียดชัดเจนอย่างพระแท้ เพียงแต่ทำให้พอเห็นมามีลางๆ ทำให้ดูเค้าว่ามีอย่างที่พระแท้มี แต่ถ้าดูกันดีๆจริงๆ จะอ่านพิรุธของธรรมชาติปลอมแปลงนี้ออก
เมื่อท่านได้พบเห็นคุณลักษณะดังกล่าวปรากฏขึ้น จะต้องใช้การพิจารณาอย่างละเอียดรอบคอบ ประกอบกับการพิจารณาด้านพิมพ์ทรงไปด้วย อย่ารีบทึกทักและโน้มเอียงเข้าข้างตนเองเสียก่อน เพราะจะเกิดความผิดพลาดขึ้นได้โดยง่าย
นอกจากลักษณะทั้ง 8 ประการ ที่กล่าวมานี้ ยังมีธรรมชาติของพระสมเด็จอีก 2 ประการ ที่เราสามารถพบเห็นได้ บริเวณด้านหน้าขององค์พระ คือ
1. รอยแตกลายงา เป็นรอยเซ็ทตัวของผิวพระที่เกิดจากการลงรักและปฏิกิริยาน้ำรักได้หดรัดผิวพระจนเกิดรอยแยกปริ โดยทั่วไปรอยแตกลายงานี้ ส่วนมากจะเกิดมาจากการล้างรักหรือหลุดร่อนจากองค์พระ ซึ่งรอยแตกลายงานี้จะไม่ลึก เนื่องจากไม่ใช่การแห้งของผิวพระโดยตรง
2. แป้งโรยพิมพ์ จากการวิเคราะห์และสันนิษฐานข้อมูลหลักฐานการสร้างพระของเจ้าประคุณสมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต พรหมรังสี) แห่งวัดระฆัง เมื่อครั้งที่ท่านได้ทำการสร้างพระพุทธ พิมพ์สี่เหลี่ยมชิ้นฟัก เพื่อแจกจ่ายให้แก่ญาติโยมที่มาสักการะเคารพนับถือท่าน เพื่อเสมือนเป็นของที่ระลึกจากท่าน
แป้งโรยพิมพ์ที่เจ้าประคุณสมเด็จท่านฯทำขึ้นนี้ เป็นผงชอล์กที่เหลือจากการที่ท่านนำเปลือกหอยมาบดละเอียดแล้วปั้นเป็นแท่ง เพื่อไว้ใช้เขียนบนแผ่นกระดานชนวน ซึ่งเสมือนเป็นกระดาษในสมัยโบราณ เวลาท่านเรียนวิชาอาคม พระเวทย์ต่างๆ กับองค์พระอาจารย์ ตลอดจนผงที่เหลือจากการเขียนสูตร อักขระ เลขยันต์ พระคาถา เวลาจะทำผงพุทธคุณวิเศษทั้ง 5 อันนับเป็นหัวเชื้อสำคัญ ก่อนที่จะไปผสมกับส่วนอื่นๆ ที่ใช้ในการสร้างพระ
หากท่านเคยเห็นการทำขนมเปี๊ยะ หรือขนมโก๋ ตามอย่างโบราณ เมื่อได้ส่วนผสมที่ต้องการแล้ว ก่อนจะนำไปกดลงพิมพ์ที่แกะเตรียมไว้ เข้าต้องเอาแป้งขนมที่สีขาวๆโรยบางๆในพิมพ์ ก่อนที่จะนำส่วนผสมของเนื้อขนมกดลงไป เพื่อว่าเวลาเคาะหรือแกะขนมออกจากพิมพ์ เนื้อขนมจะไม่ติดพิมพ์ และกินรายละเอียดของลวดลายที่แกะในแม่พิมพ์ออกมาได้หน้าตาตามที่ต้องการ การใช้แป้งโรยพิมพ์ขนมนั้นแป้งที่โรยจะเป็นฝุ่นผงละเอียดเบาบางมาก และมีอณูที่เล็กมาก ทำให้สามารถแทรกซึมเข้าไปในเนื้อขนม ที่มีความชื้นอยู่ในตัวดูดซับเข้าจนเป็นเนื้อเดียวกับส่วนผสมของขนม ทำให้เราไม่ค่อยได้พบร่องรอยของแป้งโรยพิมพ์ ในขนมที่นำออกมาจำหน่ายกันอยู่โดยทั่วไป
แต่สำหรับแป้งโรยพิมพ์ ที่เจ้าประคุณสมเด็จฯท่านได้นำมาใช้โรยลงบนพิมพ์พระก่อนที่จะนำส่วนผสมทั้งหมดที่เตรียมไว้กดเป็นพระพิมพ์ออกมา ซึ่งวัตถุประสงค์ก็คงเป็นในทางเดียวกัน คือเพื่อความสะดวกในการแกะพระออกจากพิมพ์ มิฉะนั้นคงเหนียว ยืด ติดพิมพ์เหนอะหนะไม่ร่อนตัวออกมาโดยง่าย ที่สำคัญการใช้แป้งโรยพิมพ์ทำให้ได้ลวดลายขององค์ประกอบที่มีในแผ่นพิมพ์ ไม่บิดเบือนไปจากความเป็นจริงที่ตั้งใจไว้ เราจึงได้เห็นรูปพรรณสัณฐานตามลักษณะศิลปะนูนต่ำ ที่เรียกว่า พิมพ์พระ อย่างที่ปรากฏอยู่มาจนทุกวันนี้
ดังที่ได้กล่าวแล้วว่า ผงฝุ่นหรือผงแป้งที่ใช้โรยพิมพ์พระสมเด็จฯ เป็นผงวิเศษ อันเกิดจากการนำเปลือกหอยมาบดละเอียด แต่เข้าใจได้อย่างชัดเจนว่า คนโบราณคงยังไม่มีความสามารถในการบดเปลือกหอยได้เป็นผงฝุ่นบางเบา มีอณูที่เล็กมาก ขนาดฝุ่นแป้งอย่างปัจจุบันได้ แม้ผงแป้งนี้จะถูกนำมาปั้นเป็นแท่งชอล์ก และผ่านการบดด้วยการ ขีด ขูด เขียน บนกระดาน อันนับได้ว่าเป็นขบวนการทำให้ผงปูนเปลือกหอยมีความละเอียดมากขึ้นอีกลำดับหนึ่งก็ตามที
จะขอกล่าวถึงธรรมชาติของเปลือกหอย เปลือกหอยนี้มีคุณลักษณะทางเคมี ซึ่งประกอบด้วยแคลเซียมคาร์บอเนตเป็นหลัก รวมกับสารอินทรีย์และอนินทรีย์มากมาย คุณลักษณะพิเศษของเปลือกหอยนี้ เป็นที่ประจักษ์และรู้ดีว่า ถ้าไม่ถูกทุบถูกทำลายบดสลายให้มีขนาดเล็กลงกว่าที่เคยเป็นมา เปลือกหอยจะคงสภาพของโครงสร้างเดิมไว้ได้อย่างวิเศษมหัศจรรย์มาก แม้จะแช่อยู่ในน้ำ ใต้ดิน ในโคลน ในหิน เปลือกหอยก็จะเป็นเปลือกหอยไม่เน่าเปื่อยผุพังสลายย่อยหายกลายไปเป็นอื่น เวลาเป็นเพียงตัวบั่นทอนสภาพความสมบูรณ์ของเปลือกหอยเท่านั้น แต่ไม่อาจชนะโครงสร้างเดิมของเปลือกหอยได้ ทำให้เรามีเปลือกหอยมากมาย ให้ได้เห็น ได้ชื่นชม ได้ใช้ธรรมชาติอันมหัศจรรย์ของเปลือกหอย ซึ่งยังคงสภาพที่ใกล้เคียงกับต้นกำเนิดเดิมได้อย่างมั่นคง (ยกเว้นแต่จะนำน้ำกรดบางชนิดมาย่อยสลายได้ แต่ในสมัยโบราณสารเคมีชนิดนี้ยังไม่เกิด)
จากการนำผงเปลือกหอยที่บดละเอียดมาโรยลงในพิมพ์พระสมเด็จ ก่อนที่จะนำส่วนผสมที่เตรียมพร้อมมากดพิมพ์ เรียกใหม่ว่า แป้งโรยพิมพ์
ประกอบกับคุณลักษณะของแป้งโรยพิมพ์ที่มีเนื้อแท้ของเปลือกหอยเป็นหลักถึง 90% และคุณสมบัติของเปลือกหอยที่ไม่แปรเปลี่ยนสภาพ ที่สำคัญไม่สามารถให้มวลสารอื่นมากลืนกินหรือย่อยสลายอณูของตนได้ หากแต่ผสมเข้ากับส่วนผสมอื่นได้
สำหรับส่วนผสมของพระก่อนที่จะนำมากดพิมพ์ ยังมีความชื้นซึ่งเกิดจากการนำน้ำมาเป็นตัวทำละลาย เพื่อให้ส่วนผสมต่างๆสามารถกลมกลืนเข้าด้วยกัน และเกาะติดเป็นเนื้อเดียวกันได้
ดังนั้นการที่นำผงฝุ่นเปลือกหอยโรยพิมพ์ ก่อนนำเนื้อพระกดลงในแม่พิมพ์เวลาแกะพระออกจากพิมพ์ จึงยังคงปรากฏคราบนวลสีขาวของผงฝุ่นเปลือกหอยอยู่บนองค์พระ ด้วยคุณลักษณะที่พิเศษของผงโรยพิมพ์จากเปลือกหอยนี้ ประกอบกับความชื้นของเนื้อพระจึงเกาะติดกันแน่น ส่วนจะมากหรือน้อย จะทั่วถึงทั้งองค์หรือไม่นั้น ขึ้นอยู่กับผู้โรยผงฝุ่น อันเป็นเรื่องยากที่จะกำหนดให้พอเหมาะพอดีกันทุกองค์ ด้วยเหตุที่กล่าวมาทั้งหมดนี้ จึงทำให้เราเห็นพระสมเด็จวัดระฆัง มีคราบแป้งโรยพิมพ์ปรากฏอยู่บนองค์พระบางองค์ ด้วยกาลเวลากว่าร้อยปี การสมานของอณูมวลสารยิ่งทำให้คราบแป้งโรยพิมพ์เป็นเอกลักษณ์ที่อยู่คู่กับเนื้อแท้ของมวลสารพระ จนมิอาจแยกออกจากกันได้ เว้นไว้แต่ว่าพระองค์นั้นจะผ่านการใช้จนสึก ทำให้คราบแป้งโรยพิมพ์ ซึ่งแน่นอนต้องรวมทั้งมวลสารพระที่ติดอยู่กับผงแป้งก็ต้องย่อมหลุดหายไปพร้อมกันทีละน้อย ดังที่ผู้เขียนกล่าวว่าเราจะเห็นคราบแป้งโรยพิมพ์ในพระบางองค์ อีกประเด็นหนึ่งที่น่าสนใจคือ พระบางองค์อาจจะเป็นพระที่แก่น้ำมัน รวมทั้งการโรยผงฝุ่นแป้งก่อนกดพิมพ์มีบางมาก ทำให้พระที่แกะออกมาแทบจะไม่หลงเหลือรอยคราบแป้งให้เห็น หรือวรรณะเดิมของคราบแป้งนี้ได้กลมกลืนไปกับความฉ่ำของน้ำมันตังอิ๊ว จนมีสีเดียวกันไปกับเนื้อพระ ทำให้พระองค์นั้นไม่ปรากฏนวลขาวของฝุ่นผงที่ใช้โรยพิมพ์ได้ชัดเจน
จากฝุ่นผงโรยพิมพ์ที่ปรากฏอยู่บนพระสมเด็จวัดระฆังนี้ ที่หลายคนอาจจะยังไม่เคยมีโอกาสประสบมา คือแม้จะนำพระมาล้าง (ขอเน้นว่าล้าง มิใช่ขัด ถู หรือขูด) ทำความสะอาดอย่างถูกต้อง เพื่อขจัดสิ่งสกปรกฉาบฉวยที่ปกคลุมองค์พระออก เมื่อนำพระมาผึ่งให้แห้ง คราบแป้งโรยพิมพ์ก็จะขึ้นเป็นฝ้าสีขาวนวลมาปกคลุมมวลสารพระ พระองค์ที่ปรากฏรอยคราบแป้งส่วนใหญ่จะเป็นพระที่สวยสมบูรณ์
สำหรับธรรมชาติพระสมเด็จที่กล่าวมาทั้งหมดนี้ อาจจะมีนอกเหนือไปจากนี้บ้างก็เป็นส่วนที่พบเห็นน้อย และธรรมชาติเหล่านี้พระบางองค์จะมีครบหมดทุกประการ หรือบางองค์อาจมีเป็นบางประการ แต่ไม่เคยพบว่าพระแท้องค์ใดจะไม่มีธรรมชาติความเก่าที่กล่าวมานี้เลยแม้แต่ข้อเดียว
หน้าที่เข้าชม | 556,445 ครั้ง |
ผู้ชมทั้งหมด | 452,582 ครั้ง |
เปิดร้าน | 10 มี.ค. 2561 |
ร้านค้าอัพเดท | 5 ก.ย. 2568 |